อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณพ่อหัวหน้าพรรค

สัมภาษณ์โดย ครูอุ๋ย

ตอนนี้ต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง

ผม เป็น ส.ส. เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และก็เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นอกจากนั้นก็เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสภามหาวิทยาลัยอยู่ 3 แห่ง ที่ มศว. ศิลปากร และก็เกษมบัณฑิต



ในหนึ่งวันทำอะไรบ้าง

โดย ทั่วๆ ไปแล้วเนี่ย งานการเมืองก็มักจะมีการประชุม ไม่ประชุมสภาก็ประชุมพรรค ประชุมคณะทำงาน ประชุมคณะผู้บริหารของพรรค อย่างนี้เป็นต้น รวมไปถึงสภามหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นแทบจะเรียกว่าถ้าวันธรรมดาเกือบทุกวันเนี่ยประชุมไม่ครึ่งวันก็ เต็มวัน นอกจากนั้นก็จะเป็นงานบริหารทั่วไป แล้วก็รวมไปถึงงานที่เกี่ยวข้องกับประชาชน เช่น ออกไปพบปะประชาชนในรูปแบบต่างๆ ออกไปเยี่ยมในนามพรรค ไปอภิปราย ไปสัมมนา การพบปะผู้คนที่เข้ามาเสนอข้อมูล ร้องทุกข์ ร้องเรียน ส่วนเสาร์-อาทิตย์ก็ยังจะมีกิจกรรมในลักษณะนี้อยู่ แล้วแต่ว่าจะมีการเชิญมาหรือมีการจัดกิจกรรมในช่วงไหน อย่างไร ถ้าเป็นงานการเมืองอื่นๆ มันก็จะมีงานที่เข้ามาเป็นครั้งคราวด้วย เช่น เลือกตั้งซ่อม ประชุมสภาเป็นกรณีพิเศษบ้าง





ดูแล้วใน 7 วันเหมือนไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย

ก็ ไม่เชิงอย่างนั้นซะทีเดียว ผมว่าเกือบทุกอาชีพการงานเดี๋ยวนี้จะมองว่าเป็นงานในเวลาแบบราชการหรือเวลา แปดครึ่งถึงสี่ครึ่งหรือเก้าโมงถึงห้าโมงเนี่ย คงไม่ถนัดทีเดียว จะเห็นว่ารูปแบบการทำงานขององค์กรต่างๆ เดี๋ยวนี้บางทีเรียกว่าแทรกเข้าไปอยู่เกือบจะทุกวัน ผมเห็นบริษัทห้างร้านกิจการต่างๆ ก็ยังต้องจัดกิจกรรมวันเสาร์-อาทิตย์ วันหยุด เช้าตรู่หรือหลังเวลาทำงาน ดูจะเป็นเรื่องปกติ อันนั้นก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งผมเองก็มีปรัชญาชีวิตที่ชัดเจนว่าคนเราแต่ละคนเนี่ย มันมีทั้งชีวิตครอบครัว ชีวิตส่วนตัว ชีวิตการงาน เราต้องมีความสมดุลตรงนี้ เพราะฉะนั้นผมก็จะบริหารเวลา เพื่อมีเวลาให้กับครอบครัว ไม่ใช่เฉพาะเสาร์-อาทิตย์ วันธรรมดาก็ต้องมีเวลาให้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ผมก็ยังไปส่งลูกที่โรงเรียน ถ้าไม่มีงานที่ต้องออกไปต่างจังหวัด ผมก็พบว่าความ จริงการไปส่งลูกที่โรงเรียนก็สามารถทำให้เราเข้ามาทำงานได้ก่อนคนอื่นด้วย (หัวเราะ) และก็ขณะเดียวกัน งานที่สำคัญงานหนึ่งก็คือเราต้องเรียนรู้ปัญหาต่างๆ ฉะนั้นก็ยังต้องพยายามกันเวลาสำหรับตัวเองในการที่จะสืบค้นข้อมูล ในการที่จะมีเวลามานั่งอ่าน นั่งคิด ในส่วนของเราเองด้วย



เวลาที่จะแบ่งให้ครอบครัวไม่จำเป็นต้องเสาร์-อาทิตย์ ?

ไม่จำเป็น แต่เสาร์-อาทิตย์ หรือวันที่ลูกๆ หรือภรรยาหยุด เราก็ต้องบริหารเวลาให้ได้ ใช้เวลาตรงนั้นกับครอบครัว





งานเยอะแบบนี้ดูแลสุขภาพอย่างไร

ผม ต้องยอมรับว่าการดูแลสุขภาพไม่ดีเท่าที่ควร ยังขาดวินัยในเรื่องของการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ บางทีอาจจะเป็นความชะล่าใจเพราะยังคิดว่าอายุไม่มาก ตอนนี้พอเลขสี่ขึ้นก็เริ่มรู้ตัวว่าจะต้องใส่ใจเรื่องนี้มากขึ้น แต่ว่าสุขภาพจิตดีครับ เป็นคนไม่ค่อยเครียด ผมว่ามีส่วนอย่างมากทำให้สุขภาพโดยรวมดีด้วย ต่อไปอาจจะต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอนะครับ เพราะไม่งั้นอาจจะต้องสูญเสียวินัย ร่างกายก็จะทรุดโทรมเร็วเกินไป แต่ว่าเท่าที่ดูเวลาเขาเชิญไปเล่นฟุตบอลก็ยังเล่นได้อยู่ (หัวเราะ) ช่วงที่เป็นนักเรียน นักศึกษาก็จะเล่นกีฬาอยู่



ในครอบครัวดูแลสุขภาพกันอย่างไร

ลูกๆ ยังอยู่โรงเรียน เพราะฉะนั้นเขาก็จะมีการออกกำลังอยู่แล้ว ส่วนภรรยาก็จะมีวินัยมากกว่าผมในการออกกำลังด้วยการเดินสายพานหรืออะไรแบบ นี้



เป็นเพราะเขามีเวลามากกว่าหรือเปล่า

เอ่อ...ผมว่าเป็นเรื่องวินัยมากกว่า (หัวเราะ)



ไม่ทราบลูกๆ ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว

15 กับ 12 ถึงโตแล้วแต่จะพูดว่าไม่ต้องดูแลมากก็คงจะไม่ได้นะครับ บางทีพ่อแม่ยุคนี้พอลูกเป็นวัยรุ่นอาจจะมีความวิตกกังวลมากขึ้นก็ได้



ในบทบาทของคุณพ่อ มีความรู้สึกอย่างไรกับการเลี้ยง ดูแลลูก

ผม อยากให้เขารู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนเขา เราต้องเป็นแบบอย่างของเขา ปลูกฝังค่านิยมให้เขาได้ แต่ว่าในลักษณะที่ใกล้ชิดเราก็เป็นเพื่อนเขาได้ เพราะฉะนั้นเวลาเขามีอะไรอยากให้เขากล้าที่จะบอกเรา แล้วก็เห็นว่าเราให้ความรักและก็สนอกสนใจในสิ่งที่เขาทำ โดยไม่ไปก้าวก่ายมากจนเกินไป โดยเฉพาะเมื่อเขาโตมากขึ้น



ห่วงใยลูกในเรื่องไหนมากที่สุด

ผมว่า...ธรรมชาติของคนเป็นพ่อนะครับ ก็ห่วงใยทุกเรื่อง อย่าง เช่นเวลาเขาเจ็บไข้ได้ป่วยเนี่ยเราก็จะวิตกกังวลมากกว่าเราเจ็บไข้ได้ป่วย เองด้วยซ้ำ อย่างนี้เป็นต้น และก็สังคมปัจจุบันเนี่ยมันก็มีภัยต่างๆ เพิ่มมากขึ้นเราก็มีความเป็นห่วงเป็นธรรมดา



มีกิจกรรมที่ทำกับครอบครัวเป็นประจำหรือเปล่า

ก็ อย่างที่บอกนะครับว่า ไปส่งที่โรงเรียน ดูแลเรื่องการเรียนเขาระดับหนึ่ง เช่น ดูแลความรับผิดชอบเขาเรื่องการบ้าน การอ่านหนังสือ หรือการเตรียมตัวสอบ และก็พยายามสังเกตดูว่าเขาสนใจอะไร สามารถที่จะพูดคุยกับเขาได้ ช่วงไหนที่สามารถหยุดได้ยาวสักนิดหนึ่งก็พาไปเที่ยว อาจจะต่างจังหวัด หรือว่าต่างประเทศบ้าง แต่ว่าพอเขาโตขึ้นเนี่ย ปัญหาของการทำงานอย่างผมก็คือว่ามันตกอยู่ในสายตาของคน เขาก็จะเริ่มมีความลังเลที่จะไปไหนมาไหนกับเรา เพราะว่าเขาก็อยากจะมีความเป็นส่วนตัวอยู่บ้าง



การเลี้ยงลูกตอนเด็กกับตอนโตต่างกันอย่างไรบ้าง

คือ การเติบโตของคนเนี่ย มันก็ต้องการการดูแลที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนไป คนมีลูกอ่อนก็ต้องตื่นมาชงนม ป้อนนมก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ก็ต้องปรับการนอนของตัวเอง พอเริ่มเข้าเรียนก็จะมีความจำเป็นที่ต้องไปดูแลเรื่องการปรับตัวองลูกๆ พอโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นก็ต้องดูเรื่องการคบหากับเพื่อน กิจกรรมต่างๆ ของเขา มันก็จะต้องการความสนใจการดูแลที่เปลี่ยนแปลงไปตามอายุของเขา



การเป็นหัวหน้าพรรคมีผลอย่างไรกับลูก

ลูกๆ เขาเติบโตมากับการที่เห็นพ่อเป็นนักการเมืองมาตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นในความรับรู้ในความทรงจำของเขาก็คือผมเป็นนักการเมืองมาตั้งแต่ จำความได้ ฉะนั้นชีวิตของนักการเมืองจะเป็นหรือไม่เป็นหัวหน้าพรรคมันก็เหมือนกัน เพียงแต่ความรับผิดชอบมันก็อาจจะสูงขึ้น ภารกิจมากขึ้นในบางเรื่อง แต่การเข้ามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคไม่ได้เป็นเรื่องที่ถือว่าแปลกหรือเป็น เรื่องพิเศษ



ความเป็นคุณพ่อที่เป็นนักการเมืองมีผลกับลูกหรือไม่ เช่นต่อไปลูกอาจจะโตมาแบบเรา

ไม่ ครับ ผมคิดว่าแต่ละคนก็คงมีความเป็นตัวของตัวเอง ผมก็ไม่ได้เติบโตมาในครอบครัวที่เป็นนักการเมือง แล้วก็ที่ผมสังเกตดูลูกๆ ก็คือความถนัด ความสนใจของเขาก็ไม่ได้ตรงกับพ่อแม่ จะหนักไปทางด้านศิลปะมากกว่า เราก็ส่งเสริม แต่ว่าที่เราเป็นห่วงก็คือความเป็นนักการเมืองก็มีผลกระทบกับเขา อย่างที่พูดไปแล้ว เช่น การสูญเสียความเป็นส่วนตัวเวลาที่เราออกไปไหนมาไหน อาชีพการเมืองเนี่ยมันเป็นอาชีพที่มีคู่แข่ง ถ้าพูดให้หนักก็คือมีศัตรู ก็มีทั้งที่คนเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ชอบ ไม่ชอบ ตรงนี้มันก็กระทบกับเขาด้วย เพราะว่าเขาก็อยู่ในสังคม

ในฐานะเป็นพ่อ คิดว่าควรเลี้ยงลูกอย่างไรให้มีความสุข

หนึ่ง ต้องตั้งอยู่บนสมมุติฐานก่อนว่าคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน แม้แต่ลูกของเราเองก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเหมือนกับเรา ทุกคนจะแตกต่างกัน มีความเป็นตัวของตัวเอง สอง ความรักความห่วงใย ถ้าเรามีความรักความห่วงใยเป็นที่ตั้ง แล้วก็อยู่บนเหตุผล ความพอดี ผมเชื่อว่าสิ่งที่เราทำจะเป็นคุณ เพราะฉะนั้นถ้าเราทำทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของความรักความห่วงใย แล้วก็ใช้เหตุใช้ผลกัน นั่นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และก็สาม ผมคิดว่าหน้าที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องส่งเสริมให้เขาเป็นคนที่สมบูรณ์ที่สุดในแบบอย่างของเขา

Source: http://www.oknation.net/blog/kru-oui/2007/11/28/entry-1/comment#read

No comments:

Post a Comment